- หน้าแรก
- แบตเตอรี่แบบแห้ง (Dry Cell) และ AGM กลายเป็นมาตรฐานใหม่ในตลาดรถยนต์พรีเมียม
สาระน่ารู้: แบตเตอรี่แบบแห้ง (Dry Cell) และ AGM กลายเป็นมาตรฐานใหม่ในตลาดรถยนต์พรีเมียม
แบตเตอรี่แบบแห้ง (Dry Cell) และ AGM กลายเป็นมาตรฐานใหม่ในตลาดรถยนต์พรีเมียม
คีย์เวิร์ด: แบตเตอรี่แบบแห้ง,แบตเตอรี่แห้ง Dry Cell,แบตเตอรี่ AGM,AGM Battery สำหรับรถยุโรป,แบตเตอรี่รถพรีเมียม,แบตรถยนต์พรีเมียม,AGM ดีไหม,แบตเตอรี่สำหรับรถ Start Stop,เปลี่ยนแบตเตอรี่รถยุโรป,แบตเตอรี่รถ BMW,แบตเตอรี่ Mercedes,แบตเตอรี่ Porsche,แบตเตอรี่ Varta AGM แบตเตอรี่ Bosch AGM
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์พรีเมียมมีการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในระบบไฟฟ้าและระบบสตาร์ท-สต็อป (Start-Stop System) ทำให้ “แบตเตอรี่แบบแห้ง (Dry Cell)” และ “แบตเตอรี่ AGM (Absorbent Glass Mat)” ได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน จนกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับรถยุโรประดับกลาง
แบตเตอรี่แบบแห้ง (Dry Cell) และ AGM กลายเป็นมาตรฐานใหม่ในตลาดรถยนต์พรีเมียม
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์พรีเมียมมีการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในระบบไฟฟ้าและระบบสตาร์ท-สต็อป (Start-Stop System) ทำให้ “แบตเตอรี่แบบแห้ง (Dry Cell)” และ “แบตเตอรี่ AGM (Absorbent Glass Mat)” ได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน จนกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับรถยุโรประดับกลาง–พรีเมียม เช่น BMW, Mercedes-Benz, Audi, Volvo, Porsche, Mini Cooper, Volkswagen และรถไฮบริดบางรุ่น
ทำไมแบตเตอรี่แห้งและ AGM ถึงได้รับความนิยม?
✔ 1. รองรับระบบ Start-Stop เต็มประสิทธิภาพ
รถพรีเมียมส่วนใหญ่มีระบบดับเครื่องอัตโนมัติเมื่อหยุดรถ ซึ่งทำให้แบตเตอรี่ต้องรับโหลดหนักกว่าแบตเตอรี่ทั่วไป แบตเตอรี่ AGM และ Dry Cell ถูกออกแบบมาเพื่อให้จ่ายไฟได้มากกว่าและทนต่อรอบการชาร์จ/คายประจุได้ดีขึ้น
✔ 2. อายุการใช้งานยาวกว่าแบตเตอรี่แบบน้ำ
แบตเตอรี่มาตรฐานทั่วไปมีอายุเฉลี่ย 1.5–2 ปี แต่ AGM และ Dry Cell สามารถใช้งานได้ 2.5–4 ปี (ขึ้นอยู่กับแบรนด์และสภาพใช้งาน) ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
✔ 3. ให้ไฟแรง สตาร์ทง่าย แม้ในสภาพอากาศสุดขั้ว
ด้วยค่าความต้านทานภายในต่ำ ทำให้แบตเตอรี่แบบแห้งและ AGM
-
สตาร์ทติดง่าย
-
จ่ายไฟคงที่
-
เหมาะสำหรับรถที่มีอุปกรณ์ไฟหลายชิ้น เช่น จอใหญ่, กล้อง 360°, เบาะไฟฟ้า, ระบบความปลอดภัย ADAS
✔ 4. ปลอดภัยกว่า ไม่รั่วซึม
แบตเตอรี่ AGM และ Dry Cell ไม่มีกรดเหลวไหลออกมาเหมือนแบตเตอรี่น้ำ จึงปลอดภัยกว่าเมื่อเกิดแรงสั่นสะเทือนสูง หรือในกรณีเกิดอุบัติเหตุ
✔ 5. กลายเป็นแบตเตอรี่ “ติดรถจากโรงงาน” ของรถยุโรป
หลายค่ายเช่น BMW, Mercedes, Porsche เลือกใช้ AGM หรือ Dry Cell จากโรงงาน เนื่องจากต้องการให้ระบบไฟทำงานเสถียรที่สุด โดยเฉพาะรถที่มีระบบไฟฟ้าซับซ้อน
Dry Cell vs AGM ต่างกันอย่างไร?
|
คุณสมบัติ |
Dry Cell |
AGM |
|
ประเภทแบต |
แบตแห้ง 100% |
กึ่งแห้ง (ใช้ใยแก้วกักเก็บกรด) |
|
อายุการใช้งาน |
3–5 ปี |
2.5–4 ปี |
|
การทนการสั่นสะเทือน |
ดีเยี่ยม |
ดีมาก |
|
ราคาประมาณ |
สูงที่สุด |
ปานกลาง–สูง |
|
เหมาะกับรถ |
Supercar / รถแต่งไฟเยอะ |
รถยุโรปทั่วไป |
รถที่แนะนำให้ใช้แบตเตอรี่ AGM / Dry Cell
-
BMW Series 3, 5, 7
-
Mercedes C-Class, E-Class, S-Class
-
Audi A4, A6, Q5, Q7
-
Volvo XC40, XC60, XC90
-
Porsche Cayenne, Macan
-
Mini Cooper S
-
Volkswagen Passat, Golf
-
รถญี่ปุ่นที่มีระบบ Start-Stop เช่น Mazda, Subaru
ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ
-
AGM ตั้งแต่ 4,000–12,000 บาท
-
Dry Cell ตั้งแต่ 6,000–15,000 บาท
(ขึ้นอยู่กับแบรนด์: Bosch, Varta, Amaron, 3K, Yuasa, Panther, Optima)
สรุป: ทำไมรถพรีเมียมต้องใช้ AGM หรือ Dry Cell?
เพราะรถรุ่นใหม่ใช้ระบบไฟฟ้าเยอะขึ้นและต้องการความเสถียรสูง แบตเตอรี่แบบแห้งและ AGM จึงตอบโจทย์ทั้ง:
-
ความปลอดภัย
-
ความเสถียรในการใช้งาน
-
รองรับระบบ Start-Stop
-
เพิ่มอายุการใช้งาน
-
ลดภาระให้ระบบชาร์จของรถ
กลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่ผู้ใช้รถพรีเมียมหลีกเลี่ยงไม่ได้
สาระน่ารู้อื่นๆ
ประเภทแบตเตอรี่
ยี่ห้อแบตเตอรี่
แบตเตอรี่แยกตามยี่ห้อรถ
- Toyota
- Honda
- Nissan
- Mitsubishi
- Suzuki
- Mazda
- SsangYong
- Daihatsu
- Isuzu
- Subaru
- Kia
- Hyundai
- BMW
- Mercedes-Benz
- Audi
- Volkswagen
- Renault
- Porsche
- MINI
- Ferrari
- Lamborghini
- Rolls-Royce
- Maserati
- Ford
- Chevrolet
- GMC
- Dodge
- Ram
- Tesla
- BYD
- MG
- Great Wall
- GAC
- Tata
- Mahindra
- Volvo
- Peugeot
- Citroën
- Fiat
- Alfa Romeo
- Porsche
- Mini Cooper
- Bentley
- Land Rover
- Range Rover
- Jaguar
- Lexus

